หน้าเว็บ

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เปลี่ยนการเดินทางให้เป็นการท่องเที่ยวที่เวียดนาม (ตอนที่ 1)


นอกจากแหล่งท่องเที่ยวเวียดนาม ที่น่าไปทัวร์เวียดนามแล้ว เวียดนามยังมีความน่าสนใจและเรื่องควรรู้ในการจะไปเวียดนามอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ การเดินทาง ในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเวียดนาม สามารถทำได้หลากหลายวิธี บางวิธีการเดินทางนอกจากจะนำเหล่านักท่องเที่ยวไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ยังถือว่าการเดินทางนั้นๆเป็นการท่องเที่ยวเวียดนามอย่างหนึ่งอีกด้วย ส่วนการเดินทางบางวิธีก็มีข้อควรรู้หรือข้อระวังที่เหล่านักท่องเที่ยวควรเตรียมพร้อมก่อนใช้บริการการโดยสารประเภทต่างๆ


สามล้อ



หากไม่ได้นั่งสามล้อในเวียดนาม (ไซโคล) ถือว่าคุณยังมาไม่ถึงเวียดนาม ประเทศนี้มีคนขับสามล้อหลายพันคน คุณอาจจะจ้างโดยคิดเป็นระยะทางกิโลเมคร หรือเป็นชั่วโมงก็ได้ หากเที่ยวระยะสั้นๆราคาจะอยู่ที่ประมาณแปดพันดอง ถึง สามหมื่นดอง ต่อหนึ่งชั่วโมงซึ่งไม่ราคาแพงเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการใช้บริการสามล้อจำเป็นต้องต่อราคากับคนขับสามล้อก่อนทุกครั้งก่อนขึ้นนั่งใช้บริการ และควรเตรียมเงินปลีกย่อยไว้เสมอเพราะคนขับสามล้อรับจ้างมักอ้างว่าพวกเขาไม่เงินทอนสำหรับธนบัตรที่มีมูลค่ามากกว่าหมื่นดอง กฎที่สำคัญในการต่อรองราคาคือต้องต่อรองให้ราคาลดลงมาครึ่งหนึ่งก่อนเสมอ หากคนขับไม่ให้ราคานั้น แล้วจึงค่อยต่อรองราคาอีกครั้ง คนขับรถสามล้อในเวียดนามใต้ส่วนใหญ่เคยเป็นทหาร ARVN มาก่อนจึงสามารถพูดอังกฤษได้บ้างเล็กน้อย นอกจากเป็นสารภีพานักท่องเที่ยวไปยังที่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆแล้ว คนขับสามล้อเหล่านี้ยังเป็นได้ทั้งมัคคุเทศน์ผู้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ผู้รู้ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ และผู้จัดหาวัตถุหายาก



จักรยานยนต์รับจ้าง


หากจะเรียกการบริการการเดินทางเช่นนี้ในภาษาบ้านเราง่ายๆก็คือ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งมีความหมายตรงตัว แต่หากจะเรียกเป็นภาษาเวียดนามแล้วล่ะก็ต้องเรียกว่า เซออม หรือ ฮอนด้าออม ซึ่งมีความหมายที่แปลออกมาได้แปลกๆว่า “แท็กซี่แบบกอด” แต่จะหากกล่าวจริงๆแล้วความหมายที่แปลออกมาก็ไม่ผิดไม่ไปจากความจริงนัก เพราะในการโดยสารเซออมนั้น มีกอดเอวคนขับจริงๆ เพราะการหากไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดอันตรายกับตัวผู้โดยสารได้ ในการเดินทางโดยเซออมไม่จำเป็นต้องมองหาเซออม เซออมก็จะมาหาเอง ส่วนในเรื่องของราคาค่าโดยสารนั้น ถูกกว่าการบริการสามล้อค่อนข้างมาก แถมยังรวดเร็วกว่ามาก แต่สำหรับผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้หญิงอาจจะต้องเพิ่มความระวังขึ้นอีก มักเกิดปัญหาคนขับเซออมทำตัวใกล้ชิดเกินกว่าเหตุ หากผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวไม่ว่าเพศใดรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยไม่ว่ากรณีใด ทั้งอันตรายจากการขับขี่ หรืออันตรายจากการคนขับ แนะนำให้รีบจ่ายเงินแล้วลงจากรถแม้จะยังไม่ถึงที่หมายก็ตาม แล้วใช้บริการการเดินทางวิธีอื่นหรือคนอื่นแทน ในเวลากลางวันต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นยิ่งขึ้น


วิธีการเดินทางในเวียดนามยังมีอีกมากมาย ทั้งการเช่ารถจักรยานขี่ท่องเที่ยว การใช้บริการแท๊กซี่ และรถประจำทางซึ่งเราจะมาเขียนแนะนำในตอนต่อๆไป

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อ่าวมังกรร่อนแห่งเวียดนาม

            
             ไปเวียดนาม เที่ยวเวียดนาม ทัวร์เวียดนาม มีอยู่สถานที่หนึ่งที่คุณห้ามพลาดไปเที่ยวชมเด็ดขาด ไม่เช่นนั่นอาจจะเรียกได้ว่าการเยือนเวียดนามของคุณนั่นไม่สมบูรณ์เลย สถานที่นั่นอยู่ในมณฑลกว่างนิงห์ พอจะเดากันได้ไหมเอ่ย? ว่าสถานที่ท่องเที่ยวเวียดนามที่กำลังจะกล่าวถึงนั้นคือที่ไหน...เฉลย “อ่าวฮาลอง” นั่นเอง  



             หลายคนคงจะรู้จักชื่อ “อ่าวฮาลอง” หรือที่เรียกกันติดปากตามภาษาฝรั่งว่า “ฮาลองเบย์” พรมแดนตามเหนือของมณฑลกว่างนิงห์ที่ติดต่อกับประเทศจีน อ่าวฮาลอง นั่นเลื่องชื่อว่ามีความงดงามและมหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื้อที่ของอ่าวแห่งนี้มีประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในพื้นที่ของอ่าวฮาลองนั่นจะประกอบไปด้วย ทั้งกลุ่มภูเขาหินปูนใหญ่น้อยมากมายกว่า 3,000 เกาะ มีหลายเกาะเลยที่ปัจจุบันยังคงไร้ชื่อ ก้อนหินรูปร่างหน้าตาแปลกตา พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ และยังมีถ้ำอีกมากมายซ่อนตัวอยู่ภายใต้ชั้นหิน จากองค์ประกอบที่ได้กล่าวมาทั้งหมดล้วนรังสรรให้อ่าวฮาลองเต็มไปด้วยมนต์ขลังที่กาลเวลามิอาจทำลายได้เลย เรือสำเภาและสำปั้นลอยละลิ่วไปบนพื้นน้ำสีมรกตยิ่งเพิ่มเสน่ห์ความงามให้อ่าวแห่งนี้ยิ่งขึ้น จนยูเนสโกได้ประกาศให้อ่าวฮาลองเป็นหนึ่งในมรดกโลก ด้วยเหตุผลจากภูมิทัศน์ที่สวยงามแปลกตา และสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในอ่าวแห่งนี้



             คำว่า “ฮาลอง” หรือชื่อของอ่าวแห่งนี้ มีความหมายตามภาษาเวียดนามว่า “มังกรร่อน” ซึ่งชื่อนี้ได้รับมาจากตำนานพื้นบ้านที่ถูกเล่าแตกต่าง ตำนานหนึ่งเล่าไว้ว่ามังกรแห่งสวรรค์นางหนึ่งและลูกของนางได้รับบัญชาจากจักรพรรดิหยกให้ไปสกัดกั้นศัตรูผู้รุนรานเวียดนามทางทะเล มังกรสาวจึงได้พ่นเอาชิ้นหยกออกมา ตกลงสู่ท้องทะเลกลายเป็นเกาะใหญ่น้อย หินผา และถ้ำมากมาย ทำให้สารารถจมพังเรือของศัตรูได้ ส่วนอีกตำนานเล่าว่านางมังกรสาวกระโดดลงสู่ทะเลพร้อมๆกับฟาดหางไปด้วย พลังจากหางนางมังกรทำให้หินแตกแยกกลายเป็นหุบเหวและรอยแยก น้ำทะลไหลบ่าแล้วท่วมระหว่างหุบเหว ทำให้เกิดเป็นภูมิทัศน์อันสวยงามของอ่าวฮาลอง และเสริมอีกว่านางมังกรรู้สึกภาคภูมิใจในงานศิลปะที่นางเสกสรรค์มาอย่างมาก นางจึงอาศัยของภายใต้อ่าวแห่งนี้มาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากตำนานการกำเนิดอ่าวฮาลองแห่งนี้แล้ว ถ้ำต่างๆในบริเวณของอ่าวเองก็ตามมีตำนานเป็นของตัวเองกันทั้งสิ้น หรือแม้แต่ก้อนหินปูนกองทรายเล็กน้องก็ยังมีเรื่องเล่าและชื่อเรียกขาน โดยเกิดจากการตั้งชื่อให้ของชาวบ้านหรือชาวประมงท้องถิ่น ซึ่งชื่อส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากชื่อสัตว์ ทั้งสุนัข เต่า คางคก แล้วแต่ว่าหินปูนก้อนนั้นจะมีลักษณะละม้านคล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทใด


วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อุโมงค์แห่งไหวพริบและความมานะของชาวเวียดนาม



            เมื่อบทความที่แล้วเราได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเวียดนาม ในนครโฮจิมินห์ไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังขอวนเวียนอยู่แถวๆกรุงโฮจิมินห์ แต่จะพาไปทัวร์เวียดนามนอกเขตออกมาหน่อยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราวๆ 60 กว่ากิโลเมตร จะถึงเมืองๆหนึ่งของประเทศเวียดนามชื่อว่า "กู่จี"
ที่เมืองนี้มีสถานที่น่าท่องเที่ยวอยู่อีกหนึ่งแห่ง ซึ่งเราเรียกกันว่า “อุโมงค์กู่จี” อุโมงค์ที่มีเครือข่ายใต้ดินยาวกว่า 200 กิโลเมตร  มีระดับความลึกลงไปถึง 3 ระดับ อุโมงค์กู่จีถูกสร้างขึ้นในปี 1970 โดยพวกเวียดมินห์เพื่อใช้ต่อสู้กับพวกฝรั่งเศสที่ยึดครองประเทศของตนในขณะนั้น ต่อมาพวกเวียดกงมาใช้งานต่อเพื่อเป็นที่หลบซ่อนตัว ช่วงหนึ่งของอุโมงค์นี้อยู่ตรงกับฐานหน่วยรบสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงหน่วยที่ 25 ของสหรัฐอเมริกาพอดี โดยที่ทั้งชาวบ้าน และกองโจรก็สามารถหลบซ่อนตัว และพำนักอยู่อุโมงค์ใต้ดินนี้ได้เป็นเดือนๆ โดยมีอาหารเป็นหัวเผือกและมีระบบการระบายอากาศที่ทำขึ้นเองอย่างดีและมีประสิทธิภาพ แสดงถึงความสามารถของมันสมองของชาวเวียดนามได้โดยแท้ เพราะอุโมงค์นี้เอง ชาวเวียดกงถึงขึ้นมาโจมตีศัตรูได้โดยที่ศัตรูไม่รู้ตัว และหลบซ่อนไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว จนต่อมาในปี 1960 ก็มีขุดอุโมงเพิ่มเติมให้ยาวขึ้นถึง 250 กิโลเมตร

ภายในอุโมงค์อาจจะมีการสร้างถึง 4 ชั้น ประกอบไปด้วยทั้งห้องน้ำ ห้องประชุม เสร็จสรรพไปถึงกระทั่งห้องผ่าตัดคนไข้ กลายเป็นคลินิกใต้ดินไปเลย การให้เลือดก็ใช้สายยางที่สูบลมจักรยาน เรียกได้ว่า เหล่ากองโจรในสมัยนั้นต้องทรหดอดทนอย่างมากเลยทีเดียว พวกอเมริกาพยายามจะค้นหาอุโมงค์เหล่านี้โดยใช้สุนัขดมกลิ่น แต่เวียดกงกลับรู้ทันนำพริกไทยไปโรยตามทางเข้าและช่องระบายอากาศต่างๆ แม้สหรัฐฯจะพยายามหาวิธีทำลายอุโมงค์นี้สารพัดวิธี แต่ก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายต้องใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดเป็นการปูพรม และแม้จะสามารถทำลายอุโมงค์ไปได้จำนวนมาก แต่ก็ไม่ถึงว่านี้คือชัยชนะของสหรัฐฯ เพราะว่าพวกเวียดกงได้ใช้อุโมงค์นี้ไปอย่างคุ้มค่าแล้ว
อุโมงค์กู่จีจึงเปรียบเสมือนแบบอย่างของการใช้ไหวพริบและความมีน้ำอดน้ำทนของชาวเวียดนาม อันเป็นคุณสมบัติสำคัญทื่ทำให้เวียดนามสามารถมีชัยเหนือสหรัฐฯได้ในที่สุด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าไปเยือนอย่างยิ่ง และถ้าได้เห็นกับดับชนิดต่างๆที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี หรือได้ลองคลานลอดอุโมงค์แคบๆดูแล้วล่ะก็ คุณก็จะยิ่งได้สัมผัสบรรยากาศแบบสะท้านเยือกเลยทีเดียว

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โฮจิมินห์...ท่านนี้สำคัญไฉนชื่อถึงกลายเป็นชื่อนครในเวียดนาม



เดิม "โฮจิมินห์ซิตี้" มีชื่อว่า ไซ่ง่อนเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ เมื่อครั้นประเทศเวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 คือเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน ฝ่ายเหนือนิยมระบบคอมมิวนิสต์ ฝ่ายใต้ผู้หนุนหลังโดยอเมริกาแทรกแซงคำว่า เสรีภาพ ให้ จนต่อมาสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ

ไซ่ง่อน จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โฮจิมินห์ซิตี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์ นักปฏิวัติชาวเวียดนาม ที่ผันตัวเองจากเป็นพ่อครัวและนักศึกษาในประเทศฝรั่งเศส ประเทศผู้ปกครองของเวียดนามในสมัยนั้น ก่อนจะเดินทางไปอเมริกาและอังกฤษ แล้วเข้าร่วมในพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน เมื่อมีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในจีน โฮจิมินห์หนีเข้ามาพนักในไทย ในนาม “ลุงโฮ” ต่อมาจึงเดินทางกลับเวียดนามรวบรวมชาวเวียดนามและเริ่มประกาศตัวเป็นเอกราชจากฝรั่งเศส โฮจิมินห์ก็ทำได้สำเร็จ เมื่อสงครามเวียดนามอุบัติขึ้น และสิ้นสุดด้วยความพ่ายแพ้ของอเมริกา ถึงโฮจิมินห์จะไม่ได้อยู่ชื่นชมชัยชนะในครั้งนี้ของเวียดนาม แต่เขาก็ถูกจารึกชื่อในฐานะวีรบุรษ นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม



                แม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวในนครโฮจิมินห์เองก็หลายแห่งเป็นมีชื่อของ โฮจิมินห์รวมอยู่ด้วย ไม่ว่าเป็น จัตุรัสโฮจิมินห์ เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวนครแห่งนี้ เหมือนเป็นจุดนัดพบหรือศูนย์กลางเพื่อเดินทางไปยังสถานท่องเที่ยวอื่นๆ อีกทั้งยังมีรูปปั้นของโฮจิมินห์กับเด็ก ที่มีฉากหลังเป็นศาลาว่าการเมือง มีถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสที่ดูแปลตา ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม สวยงามด้วยการตกแต่งด้วยกระจกสี และอาคารสไตล์ฝรั่งเศส ภายในอาคารก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มีการจัดแสดงแผนที่ทางทะเลในสมัยโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เก็บรวบรวมทุกเรื่องราวของโฮจิมินห์ ทั้งเรื่องส่วนตัว  เรื่องราวการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพให้แก่ชาวเวียดนาม มีการจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่เป็นระเบียบเรียบร้อย


            นครโฮจิมินห์ยังมีอีกหลายเรื่องราวและสถานที่น่าสนใจท่องเที่ยวไว้จะมาเล่าให้ฟังกันอีกในโอกาสต่อไป

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

เฝอ...อาหารแบบเส้นๆดินแดนมังกรใต้เวียดนาม

“อิตาลีมีสปาเก็ตตี้ ญี่ปุ่นมีโซบะอุด้ง จีนมีบะหมี่ ส่วนไทยเรามีก๋วยเตี๋ยว และเวียดนามก็มี...เฝอ”


"เฝอ" อาหารเส้นๆที่คนไทยเรียกอีกชื่อว่า “ก๋วยเตี๋ยวเวียดนามหรือกวยจั๊บเวียดนาม” นี้  อาหารเวียดนามเป็นอาหารประจำชาติอีกชนิดที่ได้รับความนิยมระดับโลก และขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารสุขภาพ เพราะอาหารเวียดนามส่วนใหญ่ประกอบด้วยไปผักนานาชนิด 
“เฝอ” ก็เช่นเดียวกัน ผักในเฝอประกอบไปด้วย หัวหอม ต้นหอม ผักชี สะระเหน่ โหระพา และถั่วงอก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผักมีกลิ่นหอมฉุนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างเจ้าหัวหอมมีสรรพคุณป้องกันโรคมะเร็ง การอักเสบ ภูมิแพ้ หอบหืบ  เบาหวาน และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย ผักชีช่วยเรื่องการทำงานของกระเพาะอาหาร แก้หวัด แก้บิด ไปจนถึงช่วยเรื่องโรคริดสีดวง สะระเหน่ช่วยขับลม ถอนพิษไข้ โหระพาช่วยแก้หวัด โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และ ขับเสมหะ ส่วนถั่วงอกที่เรากินกันเป็นประจำ อาจคิดนะคะว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก แต่จริงๆแล้ว ถั่วงอกมีคุณค่าทางอาหารมาก ทั้งวิตามินต่างๆ เกลือแร่ มีแคลอรีต่ำ แถมยังป้องกันมะเร็งลำไส้อีกด้วย นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ สรรพคุณจริงๆของแต่ละอย่างน่ะยังมีอีกเยอะมากๆ
นอกจากผักแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆของเฝอ ได้แก่ เส้นเฝอ คล้ายเส้นเล็กบ้านเรา แต่หนากว่า หรือกลม น้ำซุปเฝอก็ต้องเป็นน้ำต้มกระดูกวัวหรือไก่ ใส่เครื่องเทศลงไปอีกหลายหลากชนิด พูดแล้วน้ำลายสอแหะ... เส้นเหนียวๆนุ่มๆ น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม กลิ่นเครื่องเทศหอม ซดน้ำซุปร้อนๆตอนฝนตกๆหรืออากาศหนาวๆ เฮ้อ...จะมีอะไรสุขเท่าการได้กิน
ในประเทศไทยเรามีร้านอาหารเวียดนามอยู่มากมาย เฝอก็หนึ่งในเมนูของร้านอาหารเหล่านั้นด้วย แต่ถ้าอยากจะกินเฝอแบบแท้ๆล่ะก็ แนะนำให้ไปทานจากแหล่งต้นกำเนิดที่ประเทศเวียดนามดีกว่าเนอะ...เพราะนอกจากอร่อยอย่างต้นตำรับแล้ว ยังได้ไปเที่ยวแบบชิลๆที่เวียดนามด้วยนะเออ...(กิน และ เที่ยว คืองานของเรา 555+)